วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ถ้าหากจะพูดถึงอนาคต… ตัวแทนที่จะบอกเล่าได้ดีที่สุดก็คือเด็กที่ กําลังคลานเตาะแตะอยู่ในตอนนี้

ถ้าหากจะพูดถึงอนาคต…

 ตัวแทนที่จะบอกเล่าได้ดีที่สุดก็คือเด็กที่ กําลังคลานเตาะแตะอยู่ในตอนนี้

เจนเนอเรนเรชั่นอัลฟ่า(Alpha Generation) เจนแรก แห่งศตวรรษที่ 21 หรือประชากรที่เกิดระหว่างปี 2010-2024 ในปี 2025 โลกจะมีจำานวนประชากร ของเจนนี้มากถึง 2 พันล้านคน เด็กน้อยอายุยัง ไม่ถึง 10 ขวบที่กำาลังกุมอำานาจการเปลี่ยนโลก ในศตวรรษที่กำลังมาถึง เข็มทิศจะหมุนตาม ความต้องการของวัยกำลังคลานในวันนี้ ที่จะเติบโตพร้อมด้วยกำาลังซื้อในวันข้างหน้า


เจนอัลฟ่าคุ้นเคยกับเทคโนโลยีตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกยังไม่ขึ้น จำนวน 3 ใน 4 จะมีสมาร์ทโฟน เป็นของตัวเอง เมื่อเป็นวัยรุ่น พวกเขาจะสามารถ เดินทางท่องโลกออกสำรวจเสน่ห์ผ่านตรอก ซอยในอินเดีย ด้วย Virtual Reality (VR) ทั้งยัง เข้าห้องเรียนในมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับไอวี่ลีก ด้วยเทคโนโลยี Augment Reality (AR) ปรึกษา ปัญหาสุขภาพของพ่อแม่กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการ Livestream อยู่ที่บ้าน เจนเนอเรชั่นที่ สามารถเป็นดีไซเนอร์ได้ในวัยเพียง 4 ขวบ ที่ แฟชั่นวีคระดับโลกต้องจับจองที่นั่งแถวหน้าสุด
ไว้ให้ เพราะการมองเห็นของพวกเขาคือ มูลค่ามหาศาลของว่าที่ลูกค้าในอนาคต รวมถึงก้าว ขึ้นเป็นเน็ตไอดอลในวัยกำลังเดินด้วยจำนวน ผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียนับแสน

นี่คือเจนที่ได้รับคำนิยามว่า “The Next Next Generation” พวกเขาจะมีเชื้อชาติมากกว่าหนึ่ง และอาจมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มี 5 สัญชาติใน คนเดียว วัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์จะเป็นเรื่องราว ที่อยู่ในหนังสือ เป็นเรื่องเล่าขานที่ถูกหยิบจับมา สร้างสรรค์ผลงานไม่รู้จบ ค่านิยมที่เจนอัลฟ่า คุ้นเคยคือวัฒนธรรมย่อย (sub-culture) ที่ เปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขามีนิทาน ก่อนนอนเป็นซินเดอเรลล่าที่นางเอกเป็น คนเม็กซิกันหรือราพันเซลที่สวมชุดสาหรี่ ส่งตรงจากอินเดีย เจนอัลฟ่าจะเห็นภาพประเทศ มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยคน ละติน คนผิวดำ และคนเอเชียโดยคนผิวขาวเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย ทั้งยังเติบโตมากับเพศที่เลื่อนไหลท่ามกลางสังคมที่เปิดกว้าง เพราะสินค้าแบรนด์ดังพร้อมใจกันนำสัญลักษณ์ที่ระบุถึง เด็กชาย-หญิงออกจากชั้นวาง เปลี่ยนมาจัดหมวด หมู่สินค้าด้วยความสนใจมากกว่าเรื่องเพศ สนับสนุนแบรนด์แฟชั่นอย่างเวยัล (Vejas) เพราะนำเสนอประเด็นเรื่องเพศเลื่อนไหลด้วยการใช้นายแบบและนางแบบที่มีความหลากหลายทั้งเพศ และเชื้อชาติ เจนอัลฟ่ายังสนใจการเปลี่ยนแปลง สังคมพอๆ กับเรื่องของตนเอง พวกเขาพลิก ประวัติศาสตร์ด้วยแฮชแท็กหรือใช้ภาพโฮโลแกรม เพื่อสร้างความเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ทุกที่ ทุกเวลา

ในขณะที่ถูกเรียกว่า “Screenager” เพราะเติบโต มาอย่างเป็นหนึ่งเดียวกับเทคโนโลยี หากพวกเขา ต้องการเข้าใกล้มากพอกับอยากออกห่างเพราะ โหยหาความเป็นส่วนตัว ใช้ชีวิตในเมืองด้วยความ รีบเร่งพรอ้มกับหยุดพักเพื่อแบ่งเวลาไปทำดิจิทัล ดีท็อกซ์ ตลอดจนการค้นหาจิตใจเบื้องลึกผ่าน ศิลปะ ดนตรี การเต้นรำ การพูดคุย เพื่อเชื่อมโยง ระหว่างผู้คน ธรรมชาติ ไปจนถึงจิตวิญญาณที่ สมดุลและยั่งยืนที่สุด เพราะเทรนด์คืออนาคตที่เป็นผลจากปัจจุบัน ตัวอย่างข้างต้นหาใช่การคาดการณ์เกินจริง แต่ล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและก้าวขึ้น มาเป็นกระแสหลักของวันพรุ่งนี้นี่คืออนาคตที่มา พร้อมกับเรื่องราวของโอกาสทางธุรกิจ เพื่อให้ ทุกคนได้เข้าใจ เตรียมตัว และนำไปปรับใช้ได้ อย่างเหมาะสม ทุกข่าวสาร ทุกเหตุการณ์ ทุกกรณี ศึกษา เป็นเหมือนตัวบอกใบ้ที่กำลังเผยถึงโอกาส ขยายความถึงภาพผู้คน สังคม เศรษฐกิจที่กำลัง เปิดกว้าง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการฉายภาพเส้นแบ่ง ของประเทศ-เขตแดน มหานคร-ชนบท ความจริง- เสมือนจริงตลอดจนเธอและเขาที่กำลังพร่าเลือน ลง จนกลายเป็น ‘เรา’ มากขึ้นทุกขณะ


BABY BOOMER (ปี 1945-1960)

 จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยที่ปรึกษาธุรกิจและการตลาดสหรัฐฯ ดีเอ็มเอ็นทรี เปิดเผยว่า 82.3% ของกลุ่มเบบี้บูมเมอร์เข้าใช้ โซเซียลมีเดียอย่างน้อยหนึ่งเว็บไซต์ เฟซบุ๊กคือ สิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุด เช่นเดียวกับการศึกษา ก่อนหน้านี้จากโกลบอล เว็บอินเด็กส์ ที่พบว่า อย่างน้อย 70% ของกลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีขอ้มลูใน เฟซบุ๊ก  31% ใช้ทวิตเตอร์มากกว่า15.5% ของกลุ่มศึกษายังใช้เวลามากกว่า 11 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ กับเฟซบุ๊ก และมากกว่าครึ่งใช้โซเชียลมีเดย หรือ เว็บไซต์เพื่อหาข้อมูล
 บริษัท เอเออาร์พีประมาณการว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ใช้จ่ายมากกว่า 120 พันล้านเหรียญ สหรัฐฯ แต่ละปีสำหรับการเดินทางพักผ่อน ไมว่าจะเป็นการเยี่ยมครอบครัว ล่องเรือ หรือท่องเที่ยว ในจุดหมายที่วาดฝัน
 เบบี้บูมเมอร์ (อายุ 51-70 ปี) เชื่อว่า ประสบการณ์คือส่วนสำคัญในการเติมเต็มชีวิต และกว่า 44% ของกลุ่มเบบี้บูมเมอร์เข้าร่วม กิจกรรมการแสดงสดมากกว่าเมื่อ 10 ปีก่อน และ 38% กล่าวว่ากิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ตนเอง สามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มเจเนอเรชั่นที่อายุน้อย กว่าได้

GENERATION X (ปี 1961-1981)

แม้ว่าบ่อยครง้ัเจนเอ็กซ์ (Gen X) จะถูกเรียกว่าเจเนอเรชั่นที่ถูกลืม (Forgotten Generation) แต่บางรายงานกล่าวว่า เจนเนอเรชั่นนี้เป็นกลุ่ม ที่มีความมั่นคงทางการเงิน มากกว่า 25% สามารถ สร้างรายได้มากกว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์ และกลุ่ม มิลเลเนียล ในกลุ่มงานเดียวกัน
 เมื่อเจนเอ็กซ์ เป็นเจเนอเรชั่นที่อยู่ระหว่าง กลางระหว่างกลุ่มเบบี้บูมเมอร์และกลุ่มมิลเลเนียล จึงนับเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและให้การสนับสนุน เจเนอเรชั่นอื่นๆ พิว รีเสิร์ช เซ็นเตอร์ ระบุว่า 47% ของเจเนอเรชั่นนี้จะสนับสนุนด้านการเงิน แก่พ่อแม่หรือดูแลคนที่อายุน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ เจนเอ็กซ์จึงได้รับขนานนามวาเป็นผู้ที่ทำการตัดสินใจ (Decision-Maker)
 การสำรวจของเวิร์คฟรอนท์พบว่าเจนเอ็กซ์ เป็นเจเนอเรชั่นที่ทำงานหนักที่สุด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงปรารถนาการพักผ่อนหย่อนใจ ที่จัดอยู่ในประเภทพักและผ่อนคลาย (Rest & Relaxation) ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบกิจกรรม คอนเสิร์ต หรือ เทศกาล ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลศึกษาที่พบว่า เจนเอ็กซ์มักอุทิศตนเป็นอาสาสมัคร ผู้หญิงเจนนี้ 91% และชาย 76% จะสนับสนุนกิจกรรมใน ท้องถิ่นหรืองานสาธารณประโยชน์ผ่านงานที่ทำ

MILLENNIALS (ปี 1982-2004)

กลุ่มมิลเลเนียลถือเป็นหนึ่งในคนกลุ่มใหญ่ ของเจเนอเรชั่น สถาบันตลาดเกิดใหม่ มลูนิธิเฮด และยูนิเวอร์ซัม  สำรวจขอ้มลูและพบว่าคนกลุ่มนี้ กำลังจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ในที่ทำางาน ซึ่งคน กลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการพัฒนาตนเอง การจัดสมดุล การงาน-ชีวิตมากกว่าเงินตราและสถานภาพ ทางสังคม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากคนกลุ่มนี้ จะเลือกทำางานแบบฟรีแลนด์ที่สามารถปรับ เปลี่ยนตารางการทำางานได้อย่างเสรี
 กลุ่มมิลเลนเนียลผลักดันและให้ความสำคัญ เรื่องการสำารวจและผจญภัยจนเป็นไลฟ์สไตล์ อันดับต้นๆ มากกวา 14.7 ล้านคนของคนกลุ่มนี้เข้าร่วมเทศกาลดนตรีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง กลุ่มคนที่อยู่ในระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ระห่วางอนาล็อกสู่ดิจิทัล ประเด็นเหล่านี้ีจีงมัก ถูกนำมาใช้หลักสำาหรับแบรนด์สินค้า ดว้ยการนำา คุณลักษณะจากอดีตมาสร้างสรรค์หรือเปลี่ยน วิธีการใช้ใหม่จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์แบบเรโทร (Retro) เก่าคือความสดใหม่สำาหรับคนกลุ่มนี้
 ดว้ยเปน็กลุ่มที่มองหาประสบการณ์ การใช้ เวลาที่มีคุณภาพมากกว่าคลั่งไคล้ในวัตถุนิยม
 นอกจากคนกลุ่มนี้จะนำวัฒนธรรมการเพาะปลกู กลับเข้าสู่กระแสหลักแล้วยังปฏิเสธการขับรถยนต์ โดยในสหรัฐฯ ผู้คนมีความต้องการใช้บริการ การแชร์รถ (Car-sharing Services) มากกว่า การครอบครองรถยนต์

GENERATION Z (ปี 2005-2009)

เจนซีเกิดมาในขณะที่เทคโนโลยี วายฟาย และสมาร์ทโฟนพร้อมสรรพ บางครั้งถูกเรียกว่า Digital Native กลุ่มเจนซี จึงมีความเป็น ปัจเจก เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าเฉพาะ เจาะจงที่แสดงความเป็นตัวของตัวเอง ข้อมูลจาก บิสิสเนสทูคอมมิวนิตี้ ระบุว่า 53% ของเจนซี ยังต้องการช่องทางการสื่อสารที่เป็นส่วนตัว หรือเป็นแบบตัวต่อตัวมากกว่าช่องทางที่ สาธารณะ
 ไอเจน (iGen) อีกชื่อเรียกหนึ่งของเจนซี เป็นกลุ่มที่หวงแหนความเป็นส่วนตัวมากกว่า มีรายงานจากสถาบันเจเนอเรชั่น คิเนติกส์ เซ็นเตอร์ ระบุว่า เด็กเจเนอเรชั่นนี้มักเลือกใช้ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีความเป็นส่วนตัว อย่างสแนปแชต มากกว่าเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ นอกจากนี้ 38% ยังกังวลเกี่ยวกับข้อมูลหรือ ข้อความที่ส่งผ่านออนไลน์ว่าจะสร้างผลกระทบ ต่อการใช้ชีวิตในโรงเรียน

เจเนอเรชั่นนี้ยังถือว่าเป็นผู้เสนอวัฒนธรรม แบบ ดีไอวาย (DIY Culture) ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม มิลเลเนียล เนื่องจากมีความรอบคอบเรื่อง การใช้จ่ายมากกว่า หรือเรียกได้ว่ามีหัวใจของ ผู้ประกอบการ ถือเป็นเจเนอเรชั่นแรกที่เติบโต ในช่วงที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา มี ความละเอียดลออ รวมถึงเข้าใจเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิต
 ความสามารถในการเข้าถึงข่าวสาร และ รายล้อมด้วยสื่อดิจิทัลรอบด้าน จึงเป็นเจเนอเรชั่น ที่เปิดกว้าง เชื่อมั่นในความเท่าเทียมทางเพศ รวมถึงเข้าใจความหลากหลายของผู้คน พวกเขา ต้องการสร้างความแตกต่าง และเชื่อในตัวเอง โดยเฉพาะนักออกแบบรุ่นใหม่ ที่มีอายุต่ำกว่า 25 เริ่มออกแบบสินค้าจากทัศนคติของผู้ใช้งาน มากกว่าเรื่องเพศสภาพ

ALPHA GENERATION (ปี 2010-2025)

อัลฟ่า คือเจเนอเรชั่นของผู้คนที่เกิดใน ศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริง เจเนอเรชั่นนี้สามารถ ปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเล็กมากกว่า เจนเนอเรชั่นอื่นๆ จนมีผู้กล่าวว่า เด็กกลุ่มนี้ เรียนรู้การใช้อุปกรณ์แท็ปเล็ตก่อนการเรียนรู้ การใช้ห้องน้ำเสียอีก (Tablet-training before Toilet-training) เพราะพวกเขาไม่คิดว่าเทคโนโลยี เป็นเพียงเครื่องมือ แต่พวกเขารวมเทคโนโลยี เหล่านั้นไว้เป็นสิ่งเดียวกับการใช้ชีวิต ด้วยเหตุนี้ จึงถูกเรียกว่า Screenagers หรือ Generation Glass
ALPHA GENERATION คอมมอน เซนส์ มีเดียรายงานว่า มากกว่า 30% ของของเล่นชิ้นแรกสำหรับวัยหัดเดินคือ อุปกรณ์สื่อสารแม้ในยามพวกเขาหลับ ดังนั้น หนึ่งในรายการของเล่นที่ตรงใจกับเจเนอเรชั่น นี้จึงจัดอยู่ในกลุ่ม Ed-tech หรือของเล่นจำพวก เทคโนโลยีสร้างการเรียนรู้
ด้วยเจนอัลฟ่าเกิดในช่วงที่มีเทคโนโลยี ด้านการประเมินตนเอง  ส่วนหนึ่งทำให้เจเนอเรชั่น ความตระหนักถึงตนเองมากกว่าเจนเนอเรชั่น อื่น ซึ่งคงเร็วเกินไปที่จะบอกว่าอัลฟ่าเป็นคนรุ่น ใหม่ที่แต่งตัวดีที่สุด แต่มีความเป็นไปได้เพราะ สื่อโซเซียลมีเดียทุกวันนี้ มีผู้นำาแฟชั่นรุ่นเยาว์ มากมายที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายเจน

เนื้อหาเหล่านี้ยังมีอีกมากมายสำหรับข้อมูลดี ๆ ต้องขอขอบพระคุณหนังสือเจาะกระแสโลก 2017 โดย TCDC สามารถเข้าไปโหลดอ่านได้โดยตรง ผู้เขียนได้ทำการอัพเดทบทความ ติดตาม 20 อันดับยอดขายรถยนต์ของอเมริกาประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2560 ฝากไว้ให้อ่านตามลิงค์ที่แนบไว้ด้วย

GPS ติดตามรถ

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก คาดประกาศใช้ต้นปี 60 หวังยกระดับอุตสาหกรรมสู่ยุค 4.0 คาดเกิดการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทใน 10 ปี

ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก คาดประกาศใช้ต้นปี 60 หวังยกระดับอุตสาหกรรมสู่ยุค 4.0 คาดเกิดการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทใน 10 ปี

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประชุมมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ... ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่ใน3จังหวัดได้แก่ จ.ชลบุรี จ.ระยองและ จ.ฉะเชิงเทรา ตามนโยบายยกระดับภาคอุตสาหกรรมของไทย คาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2560

พื้นที่ดังกล่าวจะมีเนื้อที่ราว 70,000 ไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นการยกระดับภาคการผลิตของไทยไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ตามนโยบาย“อุตสาหกรรม4.0”

รัฐบาลประเมินว่าหากสามารถสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษสำเร็จ จะก่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในด้านอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5 แสนล้านบาทภายในระยะเวลา 10 ปี

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น รถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือ และสนามบินอู่ตะเภาวงเงิน4แสนล้านบาท การลงทุนในด้านเมืองใหม่ โรงพยาบาล โรงเรียน ที่อยู่อาศัย วงเงิน4แสนล้านบาท และการลงทุนในด้านการท่องเที่ยวคุณภาพ และเชิงสุขภาพวงเงิน2แสนล้านบาท โดยแผนการลงทุนโดยละเอียดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป

สำหรับการจัดเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก มีการคาดการณ์ว่าจะมีการใช้พื้นที่สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายประมาณ70,000ไร่ เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี18,000ไร่ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต18,000ไร่ อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรและอาหาร20,000ไร่ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์2,000ไร่ และอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ครบวงจร30,000ไร่ เป็นต้น

ทั้งนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความเห็นว่าจะให้คณะกรรมการกฤษฎีกาดูแลขั้นตอนการออกกฎหมายเป็นพิเศษ เพื่อเร่งรัดให้ผ่านการพิจารณาโดยเร็ว ก่อนจะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาคาดว่ากฎหมายจะผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี2560

ตั้งบอร์ดดูแลนายกฯเป็นประธาน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกประกอบไปด้วย5หมวด60มาตรา โดยมีสาระสำคัญ คือกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีคณะกรรมการ24คน โดยมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย อนุมัติแผนงานทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการดูแลพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก

ส่วนการกำกับดูแลในพื้นที่ให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยเป็นหน่วยงานที่เป็นหน่วยงานของรัฐแต่ไม่ใช่หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นผู้กำกับดูแล และมีอำนาจในการอนุมัติกิจกรรมตามกฎหมายในพื้นที่ครอบคลุมกฎหมาย6ฉบับได้แก่ กฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดิน กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนเครื่องจักร กฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ และกฎหมายว่าด้วยโรงงาน

ให้สิทธิเช่าที่ดินรวม99ปี

สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ให้กับนักลงทุนประกอบไปด้วย การให้สิทธิ์ในการเช่าที่ดินเพื่อทำธุรกิจเป็นระยะเวลา50ปีและต่อระยะเวลาการเช่าได้อีก49ปี สามารถนำแรงงานต่างด้าวที่มีฝีมือ หรือเป็นผู้บริหารเข้ามาทำงานในพื้นที่ได้ รวมทั้งมีการอำนวยความสะดวกให้สามารถนำครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัยได้ รวมทั้งมีการกำหนดให้มีการลดหย่อนภาษีอากรแก่แรงงานฝีมือ

นอกจากนั้นมีการให้สิทธิ์ในการใช้เงินตราต่างประเทศในพื้นที่ที่มีการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งมีการจัดตั้งเคาท์เตอร์ให้บริการทางการเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติในพื้นที่ มีการตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)อำนวยความสะดวกในการพิจารณาให้การอนุญาต การขออนุญาตการทำงาน การทดทะเบียนพาณิชย์ การขออนุญาตแรงงาน โดยสามารถดำเนินการในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

บีโอไอแก้กฎหมายให้สิทธิพิเศษภาษี15ปี

สำหรับการได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษีนิติบุคคลให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ได้มีการทบทวนกฎหมายใหม่โดยให้สิทธิ์ในการรับการยกเว้นภาษีนิติบุคคลสูงสุดเป็นระยะเวลา15ปี

ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยเก็บเงินจากผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนบางส่วนเพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนในการพัฒนาท้องถิ่น และเยียวยาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกิดจาการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยจะมีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการส่งเงินเข้ากองทุนอีกครั้งหลังจากที่กฎหมายมีการประกาศใช้แล้ว

“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะสนับสนุนการผลักดันประเทศไทยเข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของอาเซียน หลังจากที่เราเคยประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกตลอด25ปีที่ผ่านมา โดยกฎหมายนี้ถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการลงทุนทั้งสำหรับรัฐบาลนี้และเป็นแนวทางสำหรับรัฐบาลต่อไป รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่ารัฐบาลจะมีการผลักดันการพัฒนาและการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกอย่างจริงจัง” นายกอบศักดิ์กล่าว
ขอขอบคุณที่มา http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/721330

สำหรับพื้นที่เวบไซต์ดี ๆ ต้องให้เครดิต บจก. ไทย พรอสเพอรัส ไอที ผู้นำด้านการให้บริการระบบจีพีเอสติดตามรถยนต์ สินค้าเกรดเอ นำเข้าจากยุโรป มั่นใจกว่า เสถียรกว่า ทนทานกว่า รับประกันความพึงพอใจ สามารถคืนเงินได้ภายใน 7 วัน

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก ไทยติดอันดับ 34 ของโลก

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก ไทยติดอันดับ 34 ของโลก

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ WEF (World Economic Forum) ได้จัดเผยแพร่รายงานดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index: GCI) ประจำปี 2016 ซึ่งเปรียบเทียบความสามารถการแข่งขันของ 138 ประเทศทั่วโลก ในปีนี้ประเทศที่ได้อันดับหนึ่งถึงสิบ คือ สวิตเซอร์แลนด์ ตามมาด้วย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สวีเดน สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ฮ่องกง และฟินแลนด์ ตามลำดับ โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก โดยมีคะแนน 4.6 จากคะแนนเต็ม 7 คะแนน ส่วนอันดับของประเทศไทยเมื่อเทียบเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ถ้าเทียบเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 นั้น ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6

รองศาสตราจารย์ ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการของ WEF (World Economic Forum) ในประเทศไทย เผยว่า “ทางคณะฯ เป็นผู้ทำการเก็บข้อมูลเชิงลึก จากแบบสอบถามกับผู้บริหารระดับสูง ขององค์กรขนาดใหญ่และขนาดย่อม ในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม ตามเกณฑ์ที่กำหนด โดย WEF ซึ่งนำไปคำนวณดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก โดยมีตัวชี้วัด 114 ตัว จัดแบ่งเป็น 3 กลุ่ม 12 ด้าน ที่สะท้อนภาพความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ”

จากการจัดอันดับในครั้งนี้ ประเทศไทยโดดเด่นในด้านสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic Environment) ที่ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 5.7 เป็น 6.1 และได้รับอันดับดีขึ้นจาก 27 เป็น 13 นับเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกัน WEF ก็ได้มีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจสำหรับประเทศไทย คือ ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศระดับรายได้ปานกลาง และมีอุตสาหกรรมเกิดใหม่ การที่จะทำให้ประเทศเติบโตขึ้นมาได้นั้นจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของนวัตกรรม (Innovation) เป็นพิเศษ นอกจากนี้เพื่อเตรียมรองรับต่อการพัฒนาสู่อุตสาหกรรมยุค 4.0 (Fourth Industrial Revolution) ประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับทักษะของบุคลากรที่จำเป็นสำหรับอนาคตการพัฒนาของภาคธุรกิจ

ส่วนเกณฑ์การให้คะแนนของ WEFนั้น  จะแบ่งประเทศตาม GDP per Capita ของแต่ละประเทศ จัดแบ่งกลุ่มประเทศเป็น 3 กลุ่ม โดยมีตัวชี้วัด 114 ตัว แบ่งเป็น 12 ด้าน โดยจะมีน้ำหนักของตัวแปรในแต่ละด้านสำหรับแต่ละกลุ่มประเทศนั้นจะไม่เท่ากัน โดยประเทศในกลุ่มที่หนึ่ง คือ ประเทศที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยพื้นฐาน (Factor-Driven Economies) ที่ใช้ปัจจัยพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเกณฑ์ของคะแนนจะเป็น ปัจจัยด้านพื้นฐาน 60% ปัจจัยด้านประสิทธิภาพ 35% ปัจจัยด้านนวัตกรรม 5% ส่วนประเทศกลุ่มที่สอง คือ ประเทศที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยด้านประสิทธิภาพ (Efficiency - Driven Economies) โดยเกณฑ์ของคะแนนคือ ปัจจัยด้านพื้นฐาน 40% ปัจจัยด้านประสิทธิภาพ 50% ปัจจัยด้านนวัตกรรม 10% และประเทศกลุ่มที่สามคือ ประเทศที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยด้านนวัตกรรม (Innovation - Driven Economies) โดยเกณฑ์ของคะแนนคือ ปัจจัยด้านพื้นฐาน 20% ปัจจัยด้านประสิทธิภาพ 50% ปัจจัยด้านนวัตกรรม 30% โดยประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่สอง ซึ่งมีทั้งหมด 30 ประเทศ เช่น จีน อินโดนีเซีย เป็นต้น

ทั้งนี้การสำรวจความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ โดย WEF (World Economic Forum) หรือ ดัชนีความสามารถทางการแข่งขันระดับโลก (Global Competitiveness Index : GCI) ซึ่งเป็นมาตรวัดที่สำคัญที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเฝ้ารอและจับตาดู เนื่องด้วย นอกจากจะเป็นการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ แล้วยังสามารถชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นและประเด็นที่ควรต้องพิจารณา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งในประเทศไทย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว

ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475130786

แน่นอนที่สุดหากประเทศไทยของเรายังไม่พบตัวตนที่แท้จริง ใช้แรงงานจากการรับจ้างผลิตโดยไม่มีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง วิกฤตการนี้ย่อมเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดก็คือภาครัฐต้องสนับสนุนทั้งงานวิจัยสำหรับใช้งานได้จริง ตลอดจนออกกฎเกณฑ์เพื่อช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบไทย เช่น บริษัทผู้ประกอบการ จีพีเอสแทร็กเกอร์โปร เป็นต้น ให้สามารถสร้างนวัตกรรมและแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

คอนโด3หมื่นยูนิตรุม"สีม่วง" ทะลุ1.2แสนบาท/ตร.ม.เทียบชั้นสุขุมวิท

Prev
1 of 1
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 20 ม.ค. 2558 เวลา 17:01:13 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง "บางซื่อ-บางใหญ่" บูมสุดขีด 16 สถานี 23 กิโลเมตร มีซัพพลายคอนโดฯสะสมทะลักกว่า 3.1 หมื่นยูนิต ปิดการขายแล้ว 70% ราคาพุ่งแรงเบียดสุขุมวิท เผยโซนเตาปูน ถนนกรุงเทพฯ-นนท์แตะตารางเมตรละ 1.2 แสน จับตาปี"58 คอนโดฯสร้างเสร็จทยอยโอน 9 โครงการเฉียด 1 หมื่นยูนิต
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) ระยะทาง 23 กิโลเมตร รวม 16 สถานี ที่ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคมมีนโยบายเร่งเปิดบริการเร็วขึ้น จากเดิมเดือนสิงหาคม 2559 เป็นมกราคม 2559 พบว่ามีซัพพลายคอนโดมิเนียมเกาะแนวรถไฟฟ้าที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2551 สะสมไม่ต่ำกว่า 39 โครงการ รวมกว่า 31,000 ยูนิต และมีโครงการเตรียมเปิดขายปีนี้อีกอย่างน้อย 5 โครงการ รวมกว่า 7,000 ยูนิต 



ขณะที่คอนโดฯจะทยอยสร้างเสร็จในปีนี้มีไม่ต่ำกว่า 9 โครงการ กว่า 9,500 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่เปิดขายปี 2555-2556 ราคายูนิตละ 1-3 ล้านบาท อาทิ โครงการชีวาทัยอินเตอร์เชนจ์ของ บจ.ชีวาทัย 279 ยูนิต กำหนดโอนกันยายน-ตุลาคมนี้, เดอะทรี อินเตอร์เชนจ์ ของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท 1,700 ยูนิต คาดว่าแล้วเสร็จกันยายนนี้, ลุมพินีพาร์ค รัตนาธิเบศร์ 2.8 พันยูนิต คาดว่าแล้วเสร็จมิถุนายนนี้, เอส 9 ของ บมจ.สัมมากร 655 ยูนิต คาดว่าแล้วเสร็จไตรมาส 3/58 ฯลฯ 

คอนโดฯจ่อเปิดกว่า 7 พันยูนิต

จากการสำรวจพบว่าปี 2558 มีคอนโดฯอย่างน้อย 5 โครงการใหม่เตรียมเปิดตัวกว่า 7 พันยูนิต ได้แก่ 1) POSH 12 ถ.ติวานนท์ ของกลุ่มแปซิฟิกสตาร์ที่เคยพัฒนาคอนโดฯ เอท ทองหล่อ (Eight) และสาทรการ์เด้นส์ สร้างสำนักงานขายโครงการอยู่ห่างสถานีกระทรวงสาธารณสุข 150 เมตร เตรียมเปิดตัวมีนาคมนี้ เป็นคอนโดฯ 2 อาคาร รวมกว่า 1,300 ยูนิต สูง 40 ชั้นและ 45 ชั้น บนที่ดินติดถนนกว่า 4 ไร่ แบบสตูดิโอและ 1-2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 22-46 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.99 ล้านบาท หรือตารางเมตรละ 8.9 หมื่นบาท 

2) คาซ่า คอนโด ติด ถ.รัตนาธิเบศร์ ห่างสถานีสามแยกบางใหญ่ 30 เมตร ของ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ (คิวเฮ้าส์) ขึ้นป้ายเตรียมพบกันเร็ว ๆ นี้ รายละเอียดโครงการมีที่ดิน 8 ไร่ แบ่งเป็น 2 เฟส 2 อาคาร เฟสแรกเป็นตึกสูง 39 ชั้น กว่า 800 ยูนิต พื้นใช้สอยเริ่ม 22 ตารางเมตร ราคาประมาณ 1.3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เปิดตัวมีนาคมนี้ 3) คาซ่า คอนโด ของคิวเฮ้าส์เช่นกัน บนที่ดินใกล้สถานีคลองบางไผ่ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง พื้นที่ 8 ไร่ คาดว่าราคาเริ่มต้นกว่า 1 ล้านบาท เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ 

4) พลัมคอนโดฯ ของ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท มีแผนเปิดใกล้เซ็นทรัลเวสต์เกตกว่า 3,000 ยูนิต และ 5) คอนโดฯใหม่ของกลุ่มศูนย์การค้าเดอะสแควร์ บางใหญ่ กว่า 2,000 ยูนิต 

แหล่งข่าวจาก บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เป็นครั้งแรกที่จะเปิดโครงการคาซ่า คอนโดแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ปีนี้คาดว่าจะเปิดตัว 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นตารางเมตรละ 6-7 หมื่นบาท แม้ว่ามีซัพพลายคอนโดฯหลายหมื่นยูนิตแต่มั่นใจว่าศักยภาพหลังรถไฟฟ้าเปิดใช้จะกระตุ้นดีมานด์ มองว่าจะมีคนที่อยู่อาศัยจังหวัดใกล้เคียง เช่น สุพรรณบุรี นครปฐม ฯลฯ ซื้อไว้เพื่อให้ลูกมาพักอาศัยนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนในกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาคอนโดฯในเมืองแพงขึ้นมาก 

ส่วนแนวโน้มราคาเชื่อว่ายังขยับขึ้นได้อีก เห็นได้จากหลายปีก่อนบ้านจัดสรรตามแนวถนนรัตนาธิเบศร์ราคาหลังละ 5-6 ล้านบาท ปัจจุบันมีบ้านเดี่ยวราคา 10-30 ล้านบาท มองว่าอนาคตราคาคอนโดฯทำเล ถ.รัตนาธิเบศร์มีโอกาสขยับขึ้นไปแตะตารางเมตรละ 9 หมื่น-1 แสนบาท จากปัจจุบันกว่า 5-7 หมื่นบาท 

ราคาทะลุ ตร.ม.ละ 1.1 แสน

จากการสำรวจเริ่มต้นที่สถานีเตาปูน พบว่าบริเวณนี้มีคอนโดฯไม่ต่ำกว่า 4 โครงการ อาทิ ชีวาทัย อินเตอร์เชนจ์ กำลังก่อสร้างเป็นตึกสูง 26 ชั้น 279 ยูนิต ราคาเริ่มต้นตารางเมตรละ 110,000 บาท ยอดขาย 70% ขณะนี้หยุดพักการขาย รอตึกก่อสร้างเสร็จตุลาคม 2558 จึงจะเปิดขายอีกครั้ง

โครงการริชพาร์ค 2 @ เตาปูนอินเตอร์เชนจ์ ของ บมจ.ริชี่เพลซ (2002) ตึกสูง 26 ชั้น 735 ยูนิต มียอดขายแล้วกว่า 70% ห้องชุดไซซ์ 28 ตารางเมตร แต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ ราคาเริ่มต้น 2.3 ล้านบาท, เดอะสเตจ ของ บจ.เรียล แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดขายกันยายน 2557 ที่ผ่านมา เป็นตึกสูง 36 ชั้น 773 ยูนิต แบบ 1-2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 26.3-61.4 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 2.3 ล้านบาท ฯลฯ

เข้าสู่ทำเล ถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรีไปสุดที่แยกติวานนท์ มีคอนโดฯติดถนนไม่ต่ำกว่า 9 โครงการที่เพิ่งเปิดตัวปีที่ผ่านมาคือไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง อินเตอร์เชนจ์ ใกล้สถานีบางซ่อน 559 ยูนิต ห้องชุดแบบสตูดิโอ 21 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท ยอดขาย 70% หรือตารางเมตรละ 1.2 แสนบาทเทียบเท่าทำเลสุขุมวิท

กรุงเทพฯ-นนท์-ติวานนท์คึก 

ส่วนโครงการอื่น ๆ อาทิ ยูดีไลท์@บางซ่อนสเตชั่น 527 ยูนิต เริ่มต้นแบบ 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร ตกแต่งเฟอร์ฯพร้อมอยู่ ราคาเริ่ม 2.66 ล้านบาท ยอดขาย 40%, แอมเบอร์ ของ บมจ.อีสเทอร์นสตาร์ เรียลเอสเตท 563 ยูนิต ขายได้แล้ว 40% แบบ 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 2.49 ล้านบาท ฯลฯ 

สำหรับคอนโดฯโซนถนนติวานนท์และแยกแครายไม่เกินสำนักงานดาวเทียมไทยคมมีไม่ต่ำกว่า 11 โครงการ ทำเลติดถนนตารางเมตรละ 6-7 หมื่นบาท อาทิ เดอะทรัสต์ คอนโด งามวงศ์วาน 1,280 ยูนิต ตึกสร้างเสร็จมียอดขาย 60% จัดโปรโมชั่นแบบ 1 ห้องนอน 29 ตารางเมตร แต่งเฟอร์ฯพร้อมอยู่ ราคา 1.69 ล้านบาท จากปกติกว่า 2 ล้านบาท, ยูดีไลท์ รัตนาธิเบศร์ 989 ยูนิต ตึกสร้างเสร็จ มียอดขาย 80% แบบ 1 ห้องนอน 30 ตารางเมตร ราคากว่า 2 ล้านบาท ฯลฯ

รัตนาธิเบศร์ซัพพลายเพียบ

สำรวจทำเล ถ.รัตนาธิเบศร์ จากแยกแคราย-สามแยกบางใหญ่ ช่วงตัด ถ.กาญจนาภิเษก มีผู้ประกอบการรายใหญ่-รายกลางไม่ต่ำกว่า 12 โครงการ รายที่ปักธงคอนโดฯแรก ๆ คือ บมจ.ศุภาลัยเปิดโครงการซิตี้โฮม รัตนาธิเบศร์ จากนั้นขยายอีก 2 โครงการคือศุภาลัย เวอรันด้า รัตนาธิเบศร์ 1,054 ยูนิต ยอดขาย 70% มีโปรฯส่วนลด 1.1 แสนบาท ราคาห้อง 30 ตารางเมตร เริ่มต้น 1.6 ล้านบาท และศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สถานีพระนั่งเกล้า 733 ยูนิต มียอดขาย 85% แบบ 1 ห้องนอน 33 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.7 ล้านบาท มีส่วนลด 1.1 แสนบาท 

บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์มีโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ 1,950 ยูนิต เปิดตัวปี 2551 ปิดการขายแล้ว และลุมพินีพาร์ค รัตนาธิเบศร์-งามวงศ์วาน 2,800 ยูนิต ปัจจุบันเหลือขาย 1 ยูนิต 

ส่วนโครงการอื่น ๆ อาทิ เอส 9 ของ บมจ.สัมมากร เป็นตึก 8 ชั้น 4 อาคาร 655 ยูนิต มียอดขาย 60-70% แบบ 1 ห้องนอน 25 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท ฯลฯ

บางใหญ่ซูเปอร์สเตชั่น

สำหรับสถานีตลาดบางใหญ่ ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลกำลังก่อสร้างศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต พื้นที่ 5 แสนตารางเมตร เป็นพื้นที่ที่คาดว่ารัฐบาลจะก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี จึงมีคอนโดฯ เกิดขึ้นแล้วอย่างน้อย 3 โครงการ ได้แก่ 

1) พลัมคอนโด บางใหญ่สเตชั่น บมจ.พฤกษาฯ ปากซอยคลองถนน 7 อาคาร 1,870 ยูนิต ขายได้ 90% โปรฯ เฟส 1-2 ลด 1-2 หมื่นบาท พื้นที่ใช้สอย 22.5 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.09 ล้านบาท 2) ดิไอริส คอนโด บางใหญ่ ของ บจ.ดิไอริส กรุ๊ป สูง 8 ชั้น 5 ตึก รวม 900 ยูนิต ขายแล้ว 20% แบบ 1 ห้องนอน 24.8 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.25 ล้านบาท และ 3) บางใหญ่สแควร์ คอนโด ของกลุ่มศูนย์การค้าเดอะสแควร์บางใหญ่ 1,230 ยูนิต ปิดการขายแล้วเช่นกัน

ขอขอบพระคุณที่มา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ผู้เขียนเองผ่อนคอนโดอยู่ตามแนวรถไฟสายสีม่วง ยังมีความหวังลึกๆว่าหากราคายับขึ้นไป ตร.ม.ละ 90,000-110,000 บาท ได้จริงข้าวแกงจานหนึ่งจะตกราคาเท่าไหร่เวลานั้น และต้องขอขอบคุณ บจก.ไทย พรอสเพอรัส ไอที ผู้นำด้านการให้บริการ ระบบจีพีเอสติดตามรถยนต์ ด้วยสินค้ามาตรฐานนำเข้าจากผู้ผลิตโดยตรง Thai GPS Track thai gps track

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

เงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท ส่วนคนไทยแห่เที่ยวชมความงามเจดีย์วัดมูด่อง

นักท่องเที่ยวเมียนมาทะลักด่านสิงขร หลังขยายเวลาเข้าออกช่วงเทศกาลปีใหม่ คาดเงินสะพัดกว่า 50 ล้านบาท ส่วนคนไทยแห่เที่ยวชมความงามเจดีย์วัดมูด่องเช่นกัน
วันศุกร์ 2 มกราคม 2558 เวลา 19:11 น.
เมื่อวันที่ 2 ม.ค. นายวีระ ศรีวัฒนะตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากร่วมกับผู้บริหารจังหวัดมะริดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จัดงาน "สานสัมพันธ์ไทย-เมียนมา ปีใหม่ ด่านสิงขร" ครั้งที่ 1 ที่หมู่ 6 บ้านไร่เครา ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ โดยประกาศขยายเวลาเข้า-ออกของบุคคลสัญชาติเมียนมาเป็นการเฉพาะ จากเดิมที่กำหนดไว้ ระหว่างเวลา 08.00-18.00 น. เป็น 08.00-22.00 น. เพื่อคืนความสุขแก่ประชาชนสองแผ่นดิน และสานสัมพันธ์ของประชาชนของทั้งสองจังหวัด ซึ่งทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวเมียนมาทยอยเดินทางมาเที่ยวที่ตลาดการค้าชายแดน ด่านสิงขรจำนวนมาก เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลปีใหม่ คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่มีเงิน หมุนเวียนประมาณ 50 ล้านบาท นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยต่างก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่อำเภอมูด่องจำนวนมากเช่น กัน โดยทางการเมียนมาอนุญาตให้เดินทางถึงชุมชนสะพานสาม ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 13 กิโลเมตร เพื่อกราบสักการะพระพุทธรูปและชมเจดีย์ที่วัดมูด่อง ซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมทางภาคใต้ของเมียนมาที่สวยงามและแปลกตา..

ต้องขอขอบพระคุณ นสพ.เดลินิวส์ เอื้อเฟื้อข้อมูลดีๆ และ thailandgpstracker.com ผู้นำด้านการให้บริการระบบติดตามรถยนต์


วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กระตุ้นเปิดด่านถาวรสิงขร-มะริด ขยายตลาดขนส่งไทย-เมียนมาร์

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ได้มีการวางยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความ มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีข้อกำหนดในการวางแนวทางการพัฒนาเพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนว พื้นที่ชายแดน เนื่องจากเศรษฐกิจตามด่านชายแดนมีการเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะด่านชายแดนไทย-เมียนมาร์

นายประจวบ สุภินี ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาธุรกิจสู่สากล กระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่า การติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับเมียนมาร์มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งด่านชายแดนถือเป็นจุดค้าขายที่สำคัญที่สุด เนื่องจากชาวเมียนมาร์ไม่สามารถผลิตสินค้าเองได้ การค้าขายระหว่างด่านชายแดนจึงมีมากกว่า 80% และมีมูลค่าการค้าขายกว่า 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 120,000 ล้านบาทต่อปี

ล่าสุด วิทยาลัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดสัมมนาโครงการศึกษาอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพตามชายแดนในเส้นทางมะริด สาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์-ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ดร.บุญทรัพย์ พานิชการ ผู้อำนวยการวิทยาลัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า จากการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในภาคอุตสาหกรรมเส้นทางด่าน สิงขร-มะริด พบว่า เส้นทางนี้อาจจะเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพในอนาคต เนื่องจากด่านสิงขรเป็นด่าน ชายแดนไทยที่อยู่ใกล้เขตตะนาวศรี ซึ่งเป็นเขตทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมียนมาร์ และในเขตตะนาวศรียังมีทรัพยากร ธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์

เส้นทางสิงขร-มะริด ยังไม่ดีเท่าที่ควร บางช่วงยังเป็นดินลูกรัง แต่ในอนาคตเส้นทางนี้จะมีศักยภาพมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง เพราะมีระยะทางเพียง 180 กม. ซึ่งถือว่าสั้นกว่าด่านอื่นๆ ดังนั้น ต้นทุนด้านโลจิสติกส์จะลดลงอย่างแน่นอน

ด้านนายสมศักดิ์ หอยทอง กำนันตำบลคลองวาฬ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า การเปิดด่านสิงขร-มะริดให้เป็นด่านถาวร ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ถนนจากด่านสิงขรไปมะริดยังไม่ดีและมีเพียงเลนเดียว ตนจึงร่วมมือกับภาคเอกชนต่างๆ เข้าไปเจรจากับทางเมียนมาร์เพื่อก่อสร้างถนนให้ โดยทาง เมียนมาร์ก็ยินยอมและมอบที่ดินสองข้างทางให้จากถนนลากยาวไปประมาณ 21 กม. เพื่อเป็นการตอบแทน โดยจะใช้ทุนก่อสร้างประมาณ 1,200 ล้านบาท และคาดว่าอีก 2 ปีโครงการจะแล้วเสร็จ ลดเวลาการขนส่งจาก 9 ชม. เหลือเพียง 2 ชม.

“ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยเสนองบประมาณลงมาจำนวน 1,200 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาด่านสิงขร-มะริด และให้การสนับสนุนประเทศเมียนมาร์ในการสร้างถนน แต่ก็มีปัญหาต่างๆ ให้ต้องชะลอไป แต่วันเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง จึงมีการรวมกลุ่มกับภาคเอกชนไปเจรจากับทาง เมียนมาร์ เพื่อก่อสร้างถนนให้ ซึ่งทาง เมียนมาร์ก็ยอมให้เราเข้าไปดำเนินการก่อสร้างถนนให้ และยังใจดีมอบที่ดินสองข้างทางระหว่างเส้นทางไปมะริดให้ด้วย อย่างไรก็ตาม ในอนาตอันใกล้นี้ด่านสิงขร-มะริดจะสามารถเปิดเป็นด่านถาวรได้ เพราะรัฐบาลยุคท่านประยุทธ์ แสดงความจำนงลงมาชัดเจนว่าอยากให้เปิดด่านค้าขายกับเพื่อนบ้าน”

ขณะที่นายสมมิตร ศิลป์ประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าในการเปิดด่านสิงขรให้เป็นด่านถาวรมีความคืบหน้าไปมาก โดยคาดว่าในปี 2558 นี้จะสามารถเปิดได้ เพื่อกระต้นตลาดการขนส่งไทย-เมียนมาร์ และเส้นทางโลจิสติกส์สินค้าอุปโภคบริโภค จากเมียนมาร์มาแปรรูปที่ไทย ขณะเดียวกันจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างประจวบฯ และมะริดที่มีทะเลที่สวยงามระหว่าง 2 เมืองด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด่านชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าสามารถเปิดเป็นด่านถาวรได้ทุกด่าน เชื่อว่าประเทศไทยได้ประโยชน์รอบด้านอย่างแน่นอน


 ผู้เขียนเองเป็นคนอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยกำเนิด อดที่จะภาคภูมิใจลึกๆไม่ได้ว่าหนทางการเปิดด่านถาวรระหว่างไทยกับพม่าเริ่มมองเห็นแนวทางชัดเจนมากยิ่งขี้น แน่นอนที่สุดหากด่านนี้เปิดได้จริง การขนส่ง การท่องเที่ยว การค้าขายระหว่างสองประเทศย่อมมีการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดแน่ๆ ต้องขอขอบคุณเวบไซต์ thaigpstrack.com ผู้นำด้านอุปกรณ์จีพีเอสติดตามรถยนต์ มาตรฐานโรงงานผู้ผลิด รับประกันของแท้100% เต็ม

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

‘ท่าเรือระนอง’ ทางลัดมหาสมุทรอินเดีย ส่องตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสเอสเอ็มอี


‘ท่าเรือระนอง’ ทางลัดมหาสมุทรอินเดีย ส่องตลาดใหม่ เพิ่มโอกาสเอสเอ็มอี

“ปัจจุบันเมียนมาร์ใช้การขนส่งที่ท่าเรือปีนังไปยังกลุ่มประเทศที่ 3 ซึ่งการเปิดท่าเรือระนองจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เพราะมะริดเป็นจังหวัดที่มีสินค้าประมงมากที่สุดในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งร้อยละ 80 อาหารทะเลส่งเข้าประเทศ ไทยทางจังหวัดระนอง ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ทำการแปรรูปและส่งไปยังประเทศที่สาม”
วันจันทร์ 13 ตุลาคม 2557 เวลา 00:00 น.



การเปิดเสรีอาเซียนที่จะถึง ทำให้มีการปลุก “ท่าเรือระนอง” บริเวณปากแม่น้ำกระบุรี ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.ระนอง ให้มาคึกคักอีกครั้ง นอกจากการขนส่งสินค้าไปยังพม่าที่เนื้อหอมหลังจากเปิดประเทศแล้ว นี่ยังเป็นเส้นทางลัดการเดินเรือฝั่งอันดามันและมหาสมุทรอินเดียที่ใช้เวลาเดินทางเพียง 4-7 วัน จากเดิมต้องมายังท่าเรือกรุงเทพฯหรือแหลมฉบัง ก่อนเดินเรืออ้อมผ่านสิงคโปร์ ใช้เวลาประมาณ 15–20 วัน

พิฑญาฬ์ เดชารัตน์ ผู้จัดการท่าเรือระนอง กล่าวว่า ท่าเรือระนองเปิดครั้งแรกเมื่อปี 2542 ตอนนั้นเรือที่เข้ามาเป็นเรือขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ยังไม่เอื้ออำนวยเลยทำให้สินค้าไม่เพียงพอต่อเที่ยวเรือ และทำให้ทางสายเดินเรือแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหวจึงต้องหยุดไป แต่พอมาในตอนนี้สถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาร์มีความต้องการสินค้ามากทำให้มองเห็นโอกาสทำให้มีการเปิดท่าเรือใหม่อีกครั้ง

รอบนี้บริษัทเดินเรือที่เข้ามารายแรกเดิมเดินเรืออยู่ระหว่าง จ.กระบี่ ไปรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ซึ่งบริษัทได้ขยายเส้นทางเดินเรือมายังระนองเพื่อเดินทางไปเมืองมะริด ประเทศเมียนมาร์ สำหรับระยะต่อไปถ้ามีสินค้ามากขึ้นจะไปถึง ทวาย ย่างกุ้ง บังกลาเทศ อินเดีย ซึ่งเป็นแผนงานที่ได้เตรียมการกันไว้แล้ว 

“ท่าเรือทวายถือเป็นเมกะโปรเจคท์ ขนาดใหญ่ ซึ่งมีหลายคนถามว่าถ้าที่ทวายเปิดท่าเรือระนองจะมีผลกระทบอะไรไหม ถ้ามองจะเปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนกับเรามีรถบัสขนาดใหญ่ แต่รถสองแถวรถมอเตอร์ไซค์ก็ยังใช้ได้ ซึ่งท่าเรือระนองก็เปรียบเหมือนสองแถวกับมอเตอร์ไซค์ ที่เป็นเรือแท็กซี่วิ่งไปส่งสินค้ายังท่าใหญ่”

ถ้ามีความต้องการใช้เรือมากขึ้น การท่าเรือจะมีการปรับขยายท่าให้รองรับเรือได้มากขึ้น โดยตอนนี้สินค้าที่ขนส่งไปจากท่าเรือระนองคือ เฟอร์นิเจอร์จากไม้ยางพารา ในจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี และยังมีสินค้าพวกปูน ปุ๋ย อุปกรณ์ก่อสร้าง ด้านสินค้านำเข้าจากเมียนมาร์จะเป็นสินค้าประเภทเกษตรกรรมเช่น ถั่ว ถ่าน

ท่าเรือจากเมียนมาร์ที่มายังท่าเรือระนองสะดวกคือ ท่าเรือเกาะสอง, มะริด, ทวาย, ย่างกุ้ง ที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งพื้นที่ทางเมียนมาร์ตอนใต้ถ้าขนส่งทางเรือแล้ว

กระจายสินค้าไปยังทางบกจะทำให้ต้นทุนในการขนส่งต่ำการที่ท่าเรือระนองเป็นพื้นที่ซึ่งไกลจากแหล่งผลิตสินค้าถือว่ามีผลกระทบ เพราะแต่ก่อนมีปัญหาด้านต้นทุนการขนส่งมายังท่าเรือจากหลายพื้นที่ในประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางจากชุมพรมาระนองมีเส้นทางแคบและคดเคี้ยว ทำให้การขนส่งสิ้นเปลืองน้ำมัน และใช้เวลามาก ซึ่งทางจังหวัดได้เห็นปัญหาเลยมีการขยายถนนให้เป็นสี่เลน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2559 โดยตอนนี้ทำไปได้ 50 เปอร์เซ็นต์

การขนส่งทางนี้ถือว่ามีจุดเด่นที่ได้เปรียบทั้งระยะทางและเวลา ในการขนส่งไปยังประเทศกลุ่ม “บิมสเทค” คือ บังกลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย เมียนมาร์ เนปาล และภูฏาน โดยแผนการในระดับโลกเรามองว่า จีนและอินเดียจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ถ้าสามารถเชื่อมโยงกันได้จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะจังหวัดระนอง ที่ยังไม่มีท่าเรือในฝั่งอันดามัน ที่ใหญ่     

ในอดีตการเดินเรือส่วนใหญ่วิ่งไปยังอ่าวไทยผ่านช่องแคบมะละกา แล้วเข้าไปยังย่างกุ้งทะลุออกไปบังกลาเทศและอินเดีย ซึ่งจะไม่เข้ามายังเมืองท่าทางตอนใต้ของพม่า โดยระยะทางจากปากร่องน้ำมายังท่าเรือระนองใช้เวลา 2 ชั่วโมง ถ้าเทียบกับท่าเรือคลองเตย เรือจากปากร่องน้ำมายังท่าเรือใช้เวลา 2 ชั่วโมง ก็ยังมีการเดินเรือกันอย่างมากมาย ซึ่งถือว่าไม่เป็นอุปสรรคในการเดินเรือ

ในเส้นทางการเดินเรือจากท่าเรือระนองไม่มีปัญหาเรื่องลมมรสุม แต่มีปัญหาในส่วนของจังหวัดระนองที่มีฝนตกชุก ทำให้การขนถ่ายสินค้าบางอย่างที่เปียกน้ำอาจมีปัญหา แต่ถ้าใช้การขนส่งสินค้าระบบตู้จะมีปัญหาน้อยลง ซึ่งความต้องการส่วนใหญ่ของประเทศปลายทางโดยเฉพาะเมียนมาร์ตอนนี้ต้องการอุปกรณ์วัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซีเมนต์

ตั้งแต่ปี 2555 ถึงตอนนี้ผู้ประกอบการในระนองมีการตื่นตัวมาตลอด การเดินเรือตอนนี้มีเดือนละ 1 เที่ยว แล้วจะเพิ่มความถี่ในการเดินเรือขึ้นมาตามความต้องการ ตอนนี้มีสายเดินเรือที่มาติดต่อแล้ว 2 ราย เพื่อขอขนสินค้าประเภทที่ใช้ในการทำถนน และบรรดาเครื่องสุขภัณฑ์ต่าง ๆ ไปยังเมียนมาร์

ตรงนี้ทางการท่าเรือเองต้องมาพิจารณาด้วยเพราะการขนส่งหินต่าง ๆ เราต้องคำนึงถึงสิ่งแวด ล้อมด้วยแต่ละปีทางท่าเรือระนอง ตั้งเป้าไว้จะมีการขนส่งตู้สินค้าปีละหนึ่งหมื่นตู้ โดยสิ่งเหล่านี้จะสร้างประโยชน์ให้กับคนระนอง ในด้านเศรษฐกิจ และระบบการขนส่งที่จะสร้างงานในพื้นที่ให้มากขึ้น             

ธนวัฒน์ พันธุ์โกศล กรรมการบริหาร บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด ผู้ส่งออกแผ่นยางพารา มองว่า ก่อนหน้านี้บริษัทส่งออกไปยังท่าเรือสุราษฎร์ธานี แล้วเพิ่งมาเปิดโรงงานที่ชุมพร แล้วขนส่งไปยังท่าเรือกรุงเทพฯ และท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งพอมีท่าเรือระนองทางบริษัทพร้อมเต็มที่ในการใช้ท่าเรือระนองในการขนส่งสินค้า เพราะท่าเรือนี้ถือเป็นท่าเรือที่ดีในการส่งออกฝั่งอันดามัน จากแต่เดิมส่งออกฝั่งอันดามันที่ท่าเรือกระบี่และท่าเรือภูเก็ต เพื่อส่งออกไปยังท่าเรือปีนัง 

โดยคาดว่าจะลดต้นทุนการขนส่งจากเดิมได้ 10–20 เปอร์เซ็นต์ แล้วด้วยความที่ท่าเรือระนองรองรับได้ประมาณ 500 ตัน ยิ่งส่งออกได้มากขึ้น ถ้ามองในระบบขนส่งมายังท่าเรือระนองช่วงแรกอาจลำบาก แต่มีแผนในการปรับปรุงให้ดีขึ้น 

จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในการขนส่งของท่าเรือระนอง เพราะเรามองไว้ว่าจะต้องมีการขนส่งที่มากขึ้น ซึ่งถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกแค่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอในอีก 5–10 ปีข้างหน้า ในด้านผู้ประกอบการหน้าที่ต่อไปคือ การทำตลาดในกลุ่มประเทศ “บิมสเทค” เพื่อให้เกิดการส่งออกที่มากขึ้น

ด้าน ยู ทัน ทัน เลขาธิการหอการ ค้าและสภาอุตสาหกรรม จ.มะริด ประเทศ เมียนมาร์ กล่าวว่า ปัจจุบันทางพม่าใช้การขนส่งที่ท่าเรือปีนังไปยังกลุ่มประเทศที่ 3 ซึ่งการเปิดท่าเรือระนองเป็นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เพราะมะริดเป็นจังหวัดที่มีสินค้าประมงมากที่สุดในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งร้อยละ 80 อาหารทะเลส่งเข้าประเทศไทยทางจังหวัดระนอง ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ทำการแปรรูปและส่งไปยังประเทศที่สาม  

โดยทั่วไปการเดินเรือจากมะริดเข้ามาไทยใช้เวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งสินค้าไทยที่จะเข้าไปยังมะริด ส่วนใหญ่เป็นวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น นอกจากนั้นยังนำเข้าอุปกรณ์ประมงจากไทย เพราะที่มะริดมีเรือประมงจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นอวนหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการซ่อมแซมเรือ

คนที่มะริดมองการเปิดเสรีอาเซียน เป็นสิ่งที่น่ายินดี เพราะเราจะได้อยู่บ้านหลังเดียวกันช่วยกันพัฒนา และมีโอกาสร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ซึ่งในปีนี้มีคนไทยมาเยี่ยมจังหวัดมะริดแล้วกว่า 28 คณะ   

วิสุทธิ์ ภูริยะพันธ์ จากบริษัท เอส.เอ.เคไลน์ จำกัด ที่ให้บริการการเดินเรือมองว่า ท่าเรือระนองมีร่องน้ำลึก 8 เมตร เส้นทางเดินเรือถือเป็นทางโบราณที่มีการติดต่อกันมานาน เราแค่เอาเส้นทางเดิมมาเดินเรือใหม่ และเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยในการเดินเรือที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และความเร็วมากขึ้น เพื่อสนองต่อลูกค้าได้มากขึ้น

ลูกค้าที่ใช้การขนส่งที่ท่าเรือระนองมีทั้งอุปกรณ์ก่อสร้าง อาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งเดิมบริษัทเดินเรือประจำในเส้นทางท่าเรือกระบี่ไปยังปีนัง ประเทศมาเลเซีย เลยมีแผนขยายมาทางระนองเพื่อไปเมียนมาร์ และขยายพื้นที่เดินเรือในมหาสมุทรอินเดีย 

ใน 3 ปีนี้ ในเส้นทางเดินเรือมีการขยายการขนส่งไปเรื่อย ๆ แม้หลายคนมองว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่เส้นทางเดินเรือหลัก แต่เรามองว่าควรเริ่มต้นจากเล็ก ๆ ไปหาใหญ่ โดยเรือเราอาจขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อให้บริการบริษัทที่มีขนาดเล็กได้ ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะใช้ระบบการเดินเรือที่นี่มาก เพราะสินค้าชิ้นเล็ก ๆ หรือของมีน้อยก็ไปกับเรือได้

ท่าเรือระนองถือเป็นอีกทางเลือกในการขนส่งสินค้า และเป็นอีกช่องทางโอกาสของการทำตลาดของธุรกิจเอสเอ็มอี ในเส้นทางของเมียนมาร์และมหาสมุทรอินเดีย.   

...............................................................................................

คุณสมบัติเด่น ‘ท่าเรือระนอง’

ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์มีความยาวหน้าท่า 134 เมตร กว้าง 26 เมตร รับเรือได้ขนาดไม่เกิน 500 ตันกรอส จอดเทียบท่าได้พร้อมกัน 2 ลำ ส่วนท่าเทียบเรือตู้สินค้า มีความยาวหน้าท่า 150 เมตร กว้าง 30 เมตร รองรับเรือสินค้าได้ขนาดไม่เกิน 12,000 เดตเวทตัน

ร่องน้ำเดินเรือตั้งแต่ทิศตะวันตกของเกาะช้าง จนถึงท่าเทียบเรือระยะทาง 28 กิโลเมตร มีความลึกร่องน้ำ 8 เมตร จากระดับน้ำทะเลลงต่ำ ความกว้างร่องน้ำ 120 เมตร

การขนส่งเชื่อมต่อกับภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย

ทางถนน ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 เพชรเกษม กรุงเทพฯ-ชุมพร-ระนอง ระยะทาง 568 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 4010 ที่ได้รับการปรับปรุงเป็นถนนมาตรฐานแล้วบริเวณบ้านน้ำตก ระยะทาง 13 กิโลเมตร ถึงท่าเรือระนอง

ทางรถไฟ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการขนส่งระบบรางจากทุกภูมิภาค มายังสถานีบรรทุกขนถ่ายตู้สินค้า (Container yard) สถานีรถไฟวิสัย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร และขนส่งต่อเนื่องทางถนนจากชุมพร

มายังท่าเรือระนอง ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร

ทางน้ำ  สามารถขนส่งทางน้ำฝั่งอ่าวไทยมายังท่าเรือใกล้เคียง เช่น ที่ท่าเรือประจวบ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  และท่าเรือจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วขนส่งทางถนนมายังท่าเรือระนอง 

ศราวุธ ดีหมื่นไวย์

ที่มา นสพ.เดลินิวส์ โดย คุณศราวุธ ดีหมื่นไวย์

สนใจบริการ GPS TRACKING ดำเนินงานโดยทีมวิศวกร ทำให้ยานยนต์ไม่พลาดการเชื่อมต่อต้องบจก.ไทย พรอสเพอรัส ไอที เท่านั้น